วันพุธที่ 27 สิงหาคม 2568 เวลา 14.30 น. ผู้อำนวยการสำนักงานกิจการยุติธรรม มอบหมายให้ นายชัยวัฒน์ ร่างเล็ก ที่ปรึกษาด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เข้าร่วมประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ….) พ.ศ. …. ณ อาคารรัฐสภา
เนื่องด้วยในคราวประชุมวุฒิสภา ครั้งที่ 10 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) เมื่อวันจันทร์ที่ 18 สิงหาคม 2568 ที่ประชุมได้พิจารณาและลงมติรับหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรลงมติเห็นชอบแล้วและตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญขึ้นมาคณะหนึ่งเพื่องพิจารณา กำหนดการแปรญัตติภายใน 7 วันตามข้อบังคับ โดยให้เข้าร่วมประชุมเพื่อชี้แจงแสดงความคิดเห็นประกอบการพิจารณาร่างพระราชบัญญัตินี้ต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. วุฒิสภา โดยมีนางวราภัสร์ ไพพรรณรัตน์ เป็นประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญ จนกว่าจะแล้วเสร็จ
โดยได้แสดงความคิดเห็นประกอบการพิจารณาว่า ตามหลักการแล้ว ทางเราไม่มีข้อโต้แย้งต่อสาระสำคัญของร่างกฎหมายฉบับนี้ เพียงแต่ยังมีข้อกังวลบางประการที่ควรให้ความสำคัญต่อผลกระทบที่จะเกิดขึ้นอย่างน้อย 2 ประการ ดังต่อไปนี้
ประการแรก หากมีการบัญญัติกฎหมายดังกล่าว ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นคือภาระในกระบวนการยุติธรรมที่อาจเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากอาจถูกนำไปใช้ในทางมิชอบ เช่น การกลั่นแกล้งหรือสร้างคดีเท็จ ซึ่งย่อมส่งผลให้เจ้าหน้าที่ต้องดำเนินการจับกุม ควบคุมตัว และสอบสวนเพิ่มขึ้น อันเป็นภาระต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งภาระของประเทศโดยรวม ดังนั้นควรมีมาตรการรองรับหรือกลไกป้องกันความเสี่ยงดังกล่าวอย่างรอบคอบ
ประการที่สอง ประเทศไทยมีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมและวิถีชีวิตที่แตกต่างจากประเทศตะวันตก ตัวอย่างเช่น การละเล่น การร้องรำทำเพลง หรือการเกี้ยวพาราสีในเชิงสนุกสนาน เช่น เพลงเกี่ยวข้าว เพลงอีแซว ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตไทยดั้งเดิม ในมุมมองของคนรุ่นก่อน ความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงมักเริ่มต้นจากการหยอกล้อ เกี้ยวพาราสี หรือตามจีบ แต่หาได้เป็นการกระทำที่เข้าข่ายอนาจารหรือการข่มขืนไม่ ข้อกังวลจึงอยู่ที่ว่า หากกฎหมายฉบับนี้ตีความหรือบังคับใช้อย่างไม่เหมาะสม อาจนำไปสู่การทำลายอัตลักษณ์และวัฒนธรรมไทยดั้งเดิมได้ ดังนั้นจึงควรพิจารณาอย่างรอบด้านเพื่อสร้างความสมดุล ระหว่างการคุ้มครองสิทธิในทางกฎหมายและการคงไว้ซึ่งวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของไทย
ทั้งนี้ ต้องคำนึงด้วยว่า สิ่งที่เรากำลังพิจารณาอยู่นั้นเป็นความผิดทางอาญาที่เกี่ยวข้องกับความผิดทางเพศ ซึ่งเจตนาที่เกี่ยวข้องตามร่างมาตรา 3 หรือมาตรา 4 ถือเป็น เจตนาพิเศษ (specific intent) แตกต่างจากเจตนาโดยทั่วไปตามมาตรา 59 ซึ่งหมายถึงเจตนาที่มีลักษณะส่อไปในทางเพศโดยตรง ดังนั้น การพิสูจน์ว่าการกระทำของผู้ต้องหาหรือผู้ถูกกล่าวหามีเจตนาไปในทางเพศหรือไม่ ย่อมต้องอาศัยดุลพินิจ ความเชี่ยวชาญ และวิจารณญาณของเจ้าหน้าที่ หากปราศจากสิ่งเหล่านี้ ก็อาจนำไปสู่ผลกระทบในลักษณะเดียวกับที่ได้กล่าวไว้ในประการแรก